VOLDYNE 5000 Volumetric Exerciser
การบริหารการหายใจด้วยเครื่องมือบริหารการหายใจ โวลไดน์ (แบบควบคุมปริมาตรอากาศ)ช่วยให้ผู้ป่วยได้ฝึกการหายใจภายหลังการผ่าตัด หรือ ได้รับอุบัติเหตุบริเวณทรวงอก โดยเน้นเรื่องการหายใจอย่างช้าๆและลึกๆ เพื่อป้องกัน
• ภาวะปอดแฟบทั้งก่อนและหลังการผ่าตัด
• ภาวะแทรกซ้อนในระบบทางเดินหายใจในผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บบริเวณทรวงอก
• ภาวะที่ทำให้ปอดทำงานได้ไม่ปกติ เช่น ภาวะอัมพาตหรือ มีการทำงานของกระบังลมผิดปกติ
ในขณะหายใจเข้า ผู้ป่วยจะสูดอากาศเข้าทางท่อโดยปากต้องประกบท่อให้สนิท การสูดอากาศเข้าทางปากต้องดูดช้าๆและลึก โดยให้ก้อนกลมพสาสติกสีเหลืองลอยขึ้นมา ซึ่งจะเป็นตัวบอกว่าอากาศไหลเข้ามาดีมากน้อยเพียงใด
เมื่อก้อนพลาสติกสีเหลืองลอยขึ้นมาอยู่ที่ระดับที่ต้องการ ให้สังเกตุก้อนพลาสติกสีขาวที่อยู่บริเวณฐานของอุปกรณ์ โดยต้องสูดหายใจให้ก้อนดังกล่าวเลื่อนขึ้นมาจนถึงระดับที่ตั้งไว้
เมื่อถึงระดับที่ตั้งไว้แล้ว ให้ผู้ป่วยหายใจเข้าค้างไว้ประมาณ 5 ถึง 10 วินาที แล้วจึงหายใจออกโดยปล่อยท่อออกจากปากทันที จะสังเกตเห็นว่าก้อนกลมที่เลื่อนขึ้นมาจะค่อยๆเลื่อนลงมากลับมาอยู่ที่เดิม จากนั้น พักสักครู่แล้วทำแบบเดิมจะเห็นว่าอุปกรณ์ชนิดนี้สามารถบอกปริมาตรของอากาศที่หายใจเข้าได้โดยตรง
ขั้นตอนที่ 1
นำอุปกรณ์ออกจากถุงบรรจุ และนำปลายท่อต่อเข้ากับอุปกรณ์ ดังรูป
ขั้นตอนที่ 2
ตั้งอุปกรณ์ให้อยู่ในแนวตั้ง เลื่อนตัวชี้ปริมาตรอากาศไปยังปริมาตรที่ต้องการ
ขั้นตอนที่ 3
หายใจออกปกติ จากนั้นใช้ริมฝีปากครอบบริเวณส่วนปลายท่อที่ใช้สำหรับดูดลมเข้าให้แน่น
ขั้นตอนที่ 4
ดูดลมเข้าอย่างช้าๆ ให้ลูกสูบสีขาวที่อยู่ในช่องอุปกรณ์เลื่อนขึ้น ในขณะเดียวกันให้ ก้อนพลาสติกสีเหลืองที่อยู่ในช่องอีกด้านหนึ่งทางซ้ายมือเลื่อนขึ้นและรักษาระดับไว้ที่ตำแหน่งที่เขียนว่า “ BEST ” พยายามดูดลมเข้าจนลูกสูบสีขาวขึ้นไปใกล้กับปริมาตรอากาศที่ตั้งไว้ เมื่อดูดลมหายใจเข้าจนสุดให้อ้าปากออกเพื่อคลายออกจากที่ดูดลม แล้วหายใจออกปกติปล่อยให้ลูกสูบสีขาวเคลื่อนตัวลงมาในตำแหน่งเริ่มต้น จากนั้นักสักครู่แล้วเริ่มทำซ้ำอีกครั้งสำหรับปริมาตรที่กำหนดขึ้นอยู่กับเพศและอายุ
แนวทางและข้อบ่งชี้การใช้อุปกรณ์ช่วยบริหารการหายใจ
อุปกรณ์ช่วยบริหารการหายใจถูกออกแบบมาให้คล้ายกับการถอนหายใจ หรือการหาวโดยมุ่งเน้นให้ผู้ป่วยหายใจเข้าอย่างช้าๆ ลึกๆ และนานที่สุดเท่าที่ทำได้ โดยอาศัยอุปกรณ์ช่วยเพื่อให้ผู้ป่วยมองเห็นหรือทราบว่าหายใจได้ปริมาณเท่าใดและอย่างเพียงพอหรือไม่ ทั้งนี้ ให้ผู้ป่วยได้มีการฝึกหายใจลึกๆช้าๆก่อนที่จะใช้อุปกรณ์ จากนั้นให้ผู้ป่วยใช้อุปกรณ์และหายใจเข้าค้างไว้อย่างน้อย 3 วินาที
ข้อบ่งชี้
1. มีภาวะที่มีแนวโน้มว่าอาจเกิดภาวะปอดแฟบได้
2. มีภาวะปอดแฟบเกิดขึ้น
3. มีภาวะที่ทำให้ปอดทำงานได้ไม่ปกติ เช่นภาวะอัมพาต หรือ มีการทำงานของกระบังลมผิดปกติ
ข้อห้าม
1. ผู้ป่วยไม่อยู่ในสภาวะที่จะสามารถทำความเข้าใจให้ความร่วมมือ หรือ ฝึกการใช้อุปกรณ์ได้
2. ผู้ป่วยที่อยู่ในสภาวะที่ไม่สามารถหายใจเข้าลึกๆได้
3. ผู้ป่วยที่มีการเปิดให้หายใจที่คอ (tracheostomy) ไม่ใช่ข้อห้ามแต่ต้องมีการปรับใช้อย่างเหมาะสม
ภาวะแทรกซ้อนหรืออันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้
1. ไม่เหมาะสำหรับการรักษากรณีที่มีปอดแฟบปริมาณมาก หรือมีภาวะปอดอักเสบร่วมด้วย
2. อาจเกิดภาวะหายใจเร็วผิดปกติ (Hyperventilation)
3. อาจเกิดแรงดันในปอดมากผิดปกติจนอาจทำให้เกิดถุงลมแตกได้ (barotrauma)
4. อาจทำให้เกิดความเจ็บปวดบริเวณแผลผ่าตัดมากขึ้นในกรณีที่ได้รับยาบรรเทาอาการปวดไม่เพียงพอ
5. กรณีที่ผู้ป่วยมีการใช้หน้ากากออกซิเจนเพื่อช่วยหายใจ อาจทำให้เกิดภาวะขาดออกซิเจนเมื่อใช้อุปกรณ์ดังกล่าว เนื่องจากต้องมีการถอดหน้ากากออกซิเจนออกชั่วคราวขณะใช้อุปกรณ์บริหารการหายใจ
6. อาจเป็นการกระตุ้นให้เกิดการหดตัวของหลอดลม (bronchospasm)
7. ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย
รีวิว
ยังไม่มีบทวิจารณ์