Page 4 | HealthyMaxMarket.com

#สุขภาพดี…ทุกจังหวะชีวิต

By admin_hmx 07/09/2021 0

All Your Health, Thru Your Life CHILDHOOD เป็นวัยที่มีการพัฒนาการทางสมอง และร่างกายอย่างรวดเร็ว ความต้องการพลังงานสารอาหาร คาร์โบไฮเดรตโปรตีน ไขมัน รวมทั้งวิตามิน และเกลือแร่ จะเพิ่มขึ้นตามอายุ ดังนั้นการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอาจเป็นทางเลือกเพื่อรักษาสมดุล และสนับสนุนการมีสุขภาพดี WORKING AGE เป็นวัยที่ต้องการพลังงานความแข็งแรงกระฉับกระเฉงในการใช้ความคิดการตัดสินใจและมีการเคลื่อนไหวร่างกายค่อนข้างมาก สารอาหารที่ให้พลังงานจำพวกคาร์โบโฮเดรต โปรตีน ไขมัน จึงมีความจำเป็น และควรเสริมด้วยวิตามิน เกลือแร่ ผักใบเขียว และผลไม้หลากสี อีกทั้งการดูแลสภาพจิตใจ และการบริหารความเครียดก็มีความสำคัญมากเช่นกัน SENIOR เป็นช่วงวัยที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง กลไกการทำงานของอวัยวะลดลง ความต้องการพลังงานลดลงผู้สูงอายุจึงควรเลือกอาหารที่มีพลังงานน้องลง เช่น ธัญพืชที่ไม่ขัดสี ผัก ผลไม้ที่ไม่หวานจัด โปรตีนจากปลา ไข่ หรือถั่ว โดยหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงนอกจากนี้ผู้สูงอายุยังควรได้รับการตรวจสุขภาพและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออีกด้วย สุขภาพดี...ทุกจังหวะชีวิต สุขภาพดี...สิ่งประเสริฐสุดของชีวิตเรา...จึงมีภารกิจอันเปี่ยมด้วยคุณค่า ในการส่งมอบโอกาสของการมีสุขภาพดีเรา...ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานร่วมอุดมการณ์เพื่อให้ภารกิจนี้ ประสบผลสำเร็จเรา...สรรหา คัดเลือกและส่งมอบคุณค่าจากผลิตภัณฑ์คุณภาพอันหลากหลาย เพื่อประโยชน์สูงสุดในการดูแลสุขภาพเรา...ตั้งใจพัฒนาอย่างต่อเนื่องบนพื้นฐานความซื่อตรงเพื่อความวางใจในการบริการHealthyMax

การดูแลผิวของลูกน้อย

By ยุวรินทร์ สิริธนันต์ชัย 26/08/2021 0

การดูแลผิวของลูกน้อย เรียบเรียงโดยภญ.ยุวรินทร์ สิริธนันต์ชัยเภสัชกรประจำร้านเฮลธิแมกซ์ ผิวเด็กโดยเฉพาะทารกแรกเกิดยังเจริญไม่เต็มที่ ทำให้มีความอ่อนแอและเปราะบางกว่าผิวหนังของผู้ใหญ่ และผิวหนังเป็นปราการด่านแรกในการป้องกันสิ่งที่เป็นอันตราย เช่น เชื้อโรค สารเคมีต่าง ๆ เป็นต้น เข้าสู่ร่างกาย จึงจำเป็นต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษเพื่อให้มีสุขภาพผิวสุขภาพที่ดี ผิวของเด็ก VS ผิวผู้ใหญ่ ผิวเด็กผิวผู้ใหญ่ความหนาของชั้นผิวหนังบางกว่าหนากว่าการเรียงตัวของเซลล์ผิวเรียงตัวกันหลวมๆ ไม่หนาแน่นเรียงตัวกันหนาแน่นกว่าการทำงานของต่อมเหงื่อ ต่อมไขมันที่ผิวหนังทำงานยังไม่เต็มที่ทำงานเต็มที่ทำให้มีเกราะปกป้องผิวที่แข็งแรงกว่าความไวต่อสารเคมีไวต่อสารเคมีมากกว่า สารต่าง ๆ ถูกดูดซึมเข้าสู่ผิวชั้นในได้มากกว่าเกราะปกป้องผิวแข็งแรงกว่า ไวต่อสารเคมีน้อยกว่าความไวต่อรังสียูวีไวกว่า (เม็ดสีน้อยกว่า ช่วยป้องกันแสงแดดได้น้อยกว่า)ไวน้อยกว่า (เม็ดมากกว่า ป้องกันแสงแดดได้มากกว่า) ผิวของเด็ก VS ผิวผู้ใหญ่ ผิวเด็กผิวผู้ใหญ่ความหนาของชั้นผิวหนังบางกว่าหนากว่าการเรียงตัวของเซลล์ผิวเรียงตัวกันหลวมๆ ไม่หนาแน่นเรียงตัวกันหนาแน่นกว่าการทำงานของต่อมเหงื่อ ต่อมไขมันที่ผิวหนังทำงานยังไม่เต็มที่ทำงานเต็มที่ทำให้มีเกราะปกป้องผิวที่แข็งแรงกว่าความไวต่อสารเคมีไวต่อสารเคมีมากกว่า สารต่าง ๆ ถูกดูดซึมเข้าสู่ผิวชั้นในได้มากกว่าเกราะปกป้องผิวแข็งแรงกว่า ไวต่อสารเคมีน้อยกว่าความไวต่อรังสียูวีไวกว่า (เม็ดสีน้อยกว่า ช่วยป้องกันแสงแดดได้น้อยกว่า)ไวน้อยกว่า (เม็ดมากกว่า ป้องกันแสงแดดได้มากกว่า) การดูแลผิวของลูกรัก การอาบน้ำ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวโดยทั่วไปจะมีสารทำความสะอาดที่ไปกำจัดชั้นไขมันที่ปกป้องผิวของลูกน้อย เมื่อชั้นไขมันปกป้องผิวถูกชำระล้างออก ส่งผลให้สารต่าง ๆ ผ่านเข้าสู่ผิวได้มากขึ้น ส่งผลให้ผิวของลูกน้อยเกิดการระคายเคืองได้ง่ายขึ้น ดังนั้นในการเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวให้กับลูกน้อยจึงควรเลือกสารที่มีความอ่อนโยน ไม่ก่อให้เกิดการระเคือง ใช้ในปริมาณน้อย และล้างออกให้สะอาด ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเมื่อลูกรักใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูป ผ้าอ้อมสำเร็จรูปจะดูดซับปัสสาวะ สิ่งขับถ่าย รวมถึงความชื้นจากผิวหนังของลูกน้อย ส่งผลให้ผิวหนังภายใต้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปขาดความชุ่มชื้น หนึ่งในวิธีการเลือกผ้าอ้อมสำเร็จรูปคือ เลือกผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่มีการระบายอากาศที่ดีเพื่อลดโอกาสการเกิดผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา การทำความสะอาดผิวบริเวณที่สวมใส่ผ้าอ้อม ทำความสะอาดผิวหนังด้วยผ้าที่มีความอ่อนนุ่ม ซึ่งการทำความสะอาดผิวหนังภายใต้บริเวณที่มีการสวมใส่ผ้าอ้อมควรเป็นสารบำรุงหรือสารทำความสะอาดที่ปราศจากส่วนผสมของแอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือสารอื่น ๆ ที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง การดูแลผิวอักเสบจากผ้าอ้อม สาเหตุหลักของผิวหนังอักเสบจากผ้าอ้อมคือ การสัมผัสกับสิ่งที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ซึ่งวิธีการป้องกันการเกิดผิวหนังอักเสบจากผ้าอ้อมคือ การลดหรือกำจัดสิ่งที่เป็นสาเหตุให้เกิดผิวหนังอักเสบตั้งแต่เริ่มต้น หากเกิดความผิดปกติกับผิวหนัง เช่น มีอาการคัน ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีแดง มีตุ่มขึ้น ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อรับการรักษาที่ถูกวิธีต่อไป การบำรุงผิวด้วยสารบำรุงผิว การทาสารบำรุงผิวให้ความนุ่ม ชุ่มชื้นจะช่วยส่งเสริมการสร้างชั้นผิวหนังและเสริมความแข็งแรงให้ผิวของชั้นนอกซึ่งเป็นเสมือนปราการด่านแรกให้กับลูกน้อย มีการศึกษาในเด็กที่คลอดก่อนกำหนดพบว่าการทาสารบำรุงผิวช่วยลดโอกาสการติดเชื้อในโรงพยาบาลได้ถึง 41% ช้อปสุขภาพดี 24 ชั่วโมง LINE OA @HealthyMax

Sweet Dream

By ยุวรินทร์ สิริธนันต์ชัย 12/03/2021 0

นอนไม่หลับส่งผลเสียต่อร่างกายมากกว่าที่คุณคิด เรียบเรียงโดยภญ.ยุวรินทร์ สิริธนันต์ชัยเภสัชกรประจำร้านเฮลธิแมกซ์ ทำความรู้จักกับอาการนอนไม่หลับ การนอนเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญต่อชีวิตเพราะเป็นความต้องการพื้นฐานของร่างกาย จากการศึกษาทำให้ทราบว่าคนเราจำเป็นต้องมีการนอนหลับเพื่อให้ร่างกายเกิดการซ่อมแซม ช่วยรักษาสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เกี่ยวข้องกับอารมณ์ ระบบความจำและการทำงานของสมอง จะเห็นได้ว่าการนอนหลับมีความสำคัญต่อร่างกายของเรามากเลยนะคะ โดยจะพบว่าการนอนไม่หลับเป็นความผิดปกติของการนอนที่พบบ่อยที่สุด โดยพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 1.5 เท่า และจะพบได้บ่อยขึ้นเมื่ออายุมากขึ้นค่ะ ผลเสียจากการนอนไม่หลับต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน การนอนหลับไม่เพียงพออย่างต่อเนื่องจะส่งผลต่อร่างกาย โดยการเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคความดันโลหิตสูงและโรคหลอดเลือดหัวใจ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะมีประสิทธิภาพต่ำลง ประสิทธิภาพในการการซ่อมแซมร่างกายลดต่ำลง ส่งผลต่อจิตใจและอารมณ์ เช่น อาจส่งผลให้สภาวะอารมณ์ไม่คงที่ อารมณ์แปรปรวน เฉื่อยชา ประสิทธิภาพในการทำงานต่ำลง รู้สึกอ่อนเพลีย การเผาผลาญพลังงานของร่างกายผิดปกติ และยังอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุจากการขับขี่ยวดยานพาหนะได้อีกด้วยค่ะ สาเหตุการนอนไม่หลับ 1. ปรับพฤติกรรมการนอนที่ไม่เป็นเวลา หลีกเลี่ยงการนอนในเวลากลางวัน 2. ใช้ยาหรือสารที่มีฤทธิ์กระตุ้นให้นอนไม่หลับ เช่น การดื่มกาแฟในปริมาณมาก หรือดื่มในช่วงที่ใกล้เวลานอน การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี การใช้สารเสพติดบางชนิด 3. ความเครียด ความวิตกกังวล หรือความแปรปรวนผิดปกติของจิตใจ เช่น มีอาการซึมเศร้า หมดกำลังใจ 4. นอกจากนี้การนอนไม่หลับยังอาจสัมพันธ์กับหน้าที่การงานได้ด้วยนะคะ เช่น ในกลุ่มคนที่ต้องทำงานเป็นกะที่ต้องมีการสลับสับเปลี่ยนเวลาในการทำงานอยู่เสมอ เช่น พยาบาล หรือพนักงานรักษาความปลอดภัย 5. สิ่งแวดล้อมในการนอนไม่เหมาะสมก็อาจเป็นสาเหตุได้เช่นกันค่ะ เช่น มีเสียงดังรบกวน มีแสงสว่างมากเกินไป 6. ออกกำลังกายใกล้กับเวลานอนก็เป็นสาเหตุได้เช่นกันค่ะ การป้องกันหรือรักษาอาการนอนไม่หลับ จะเน้นการรักษาที่ต้นเหตุเป็นหลักค่ะ มาดูกันนะคะว่าจะมีวิธีไหนกันบ้างนะคะ 1. ปรับพฤติกรรมการนอนที่ไม่เป็นเวลา หลีกเลี่ยงการนอนในเวลากลางวัน 2. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ กาแฟ การสูบบุหรี่ ในช่วงบ่าย ๆ เพราะอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของการนอน 3. จัดบรรยากาศในห้องนอนให้เหมาะสมต่อการนอนหลับ เช่น ไม่มีแสงสว่างจากภายนอกส่องเข้ามารบกวน มีอุณหภูมิที่เย็นสบายเหมาะสม ไม่มีเสียงรบกวนขณะนอนหลับ 4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอเป็นประจำ แต่ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายใกล้กับเวลานอนเพราะทำให้ร่างกายตื่นตัวและอาจส่งผลให้นอนไม่หลับได้ค่ะ 5. ทำสภาพจิตใจให้ผ่อนคลายก่อนนอน หรือหากนอนไม่หลับจริง ๆ ไม่ควรเพ่งความสนใจไปกับการพยายามบังคับตนเองให้หลับ แต่ควรไปทำกิจกรรมเบา ๆ เช่น อ่านหนังสือ นั่งสมาธิ ฟังเพลงเบา ๆ เมื่อรู้สึกง่วงจึงเข้านอน 6. ห้องนอนและเตียงนอนควรใช้สำหรับการนอนเพื่อสร้างความคุ้นเคยว่าเป็นสถานที่สำหรับการนอน ควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น การเอางานมานั่งทำบนเตียงนอน หรือแม้กระทั่งการรับประทานอาหารบนเตียงนอนก็ตาม 7. การทานอาหารเบา ๆ ก่อนเข้านอน เช่น น้ำส้ม หรือนมอุ่น ๆ อาจช่วยในการนอนหลับได้ 8. มีงานวิจัยที่บ่งชี้ว่าการรับประทานอาหารที่มีสาร Tryptophan มากจะช่วยยังเพิ่มประสิทธิภาพของการนอนได้นะคะ 9. ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรในกรณีที่ลองปรับพฤติกรรมข้างต้นแล้วไม่ดีขึ้น ซึ่งในบางกรณีอาจมีความจำเป็นต้องได้รับยาช่วยในการนอนหลับ ซึ่งกรณีที่จำเป็นต้องใช้ยาโดยทั่วไปจะใช้ในระยะเวลาสั้น ๆ ภายใต้การดูแลของแพทย์ค่ะ ปัจจุบันมีการนำเมลาโทนินซึ่งเป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่งในร่างกายมาผลิตเป็นยาหรืออาหารเสริมเพื่อช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับ หรือเพื่อใช้ในการรักษากลุ่มอาการนอนผิดเวลาหรือช่วยบรรเทาอาการเจ็ทแลค อย่างไรก็ตามการใช้เมลาโทนินก็อาจพบผลข้างเคียงบางประการได้ เช่น อาการมวนท้อง ความดันโลหิตต่ำ อาการมึนงง เป็นต้น ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยในการใช้เมลาโทนินจึงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการใช้ยาหรืออาหารเสริมนะคะ สุดท้ายนี้ก็ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพดีทุกจังหวะของชีวิตนะคะ Ask your pharmacist A : ปัจจุบันมีการพูดถึงการนำเมลาโทนินมาใช้ในการรักษาอาการนอนไม่หลับ อยากทราบว่าเมลาโทนินคืออะไร ช่วยรักษาอาการนอนไม่หลับได้อย่างไร Pharmacist: เมลาโทนิน เป็นออร์โมนในร่างกายซึ่งส่งผลทำให้รู้สึกง่วง โดยสร้างมาจากสมอง และจะถูกกระตุ้นให้สร้างมากขึ้นในเวลาที่ไม่มีแสงหรือมีแสงสว่างน้อย ดังนั้นจะพบว่าเมลาโทนินจะเริ่มถูกหลั่งออกตั้งแต่ช่วงพระอาทิตย์ตกดิน และค่อย ๆ เพิ่มระดับขึ้น โดยทั่วไปเมลาโทนินเมื่อหลั่งออกมาจากสมองแล้วจะคงอยู่ในกระแสเลือดเป็นเวลา 12 ชั่วโมง จากนั้นจะค่อย ๆ ลดปริมาณลงเมื่อเข้าสู่ช่วงเวลาเช้าในแต่ละวัน เมลาโทนินเป็นฮอร์โมนที่ส่งผลในเรื่องของการนอนหลับ ดังนั้นการที่มีระดับของเมลาโทนินที่หลั่งออกมาจากสมองมากก็จะส่งผลต่อคุณภาพการนอนโดยทำให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น และยังส่งผลให้นอนหลับได้นานขึ้นด้วย

กิจกรรมบำบัด VS กายภาพบำบัด

By ยุวรินทร์ สิริธนันต์ชัย 03/12/2020 0

เคยสงสัยกันมั้ยว่ากิจกรรมบำบัดคือไร มีความเหมือนหรือแตกต่างจากกายภาพบำบัดอย่างไร เรียบเรียงโดยภญ.ยุวรินทร์ สิริธนันต์ชัยเภสัชกรประจำร้านเฮลธิแมกซ์

8 อุปนิสัยเพื่อสุขภาพที่ดี

By ยุวรินทร์ สิริธนันต์ชัย 27/11/2020 0

8 HABITS FOR GOOD HEALTH 1.ความสุขต้องเติม (Be Happy)เติมความสุขได้ง่าย ๆ ในทุก ๆ วันด้วยการอยู่กับปัจจุบัน ฝึกการเป็นผู้ให้ พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ทำในสิ่งที่รักความสุขสร้างได้ด้วยตัวของเราเอง 2.อีกเสริมเพิ่มน้ำ (Drink More Water)ร่างกายของมนุษย์ประกอบไปด้วยน้ำ 60-70% การดื่มน้ำช่วยให้ผิวดูมีน้ำมีนวล ไม่แห้งกร้าน เพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกายและช่วยให้ระบบสมองทำงานได้ดี 3.ห้ามขาดการนอน (Get Enough Sleep)นอนหลับอย่างมีคุณภาพ คือ การหลับสนิทยาวนานถึงเช้า ตื่นนอนมาพร้อมกับความสดชื่น หากนอนหลับไม่เพียงพอหรือไม่มีคุณภาพจะกระตุ้นให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมา 4.ไม่อาวรณ์คิดลบ (Think Positively)มองโลกในแง่บวก พูดคำว่า “ช่างมัน” บ้าง แล้วคุณจะพบว่าในหลาย ๆ สถานการณ์ ชีวิตคุณดูง่ายขึ้นอีกเยอะ 5.ลดวิตกวอรี่ (Worry Less)บอกกับตัวเองเสมอว่า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เลิกวิตกกังวลหากคุณได้ทุกอย่าง ๆ ดีที่สุดแล้ว 6.โภชนาดีครบหมู่ (Eat Healthy)ทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารประเภทผัก เพราะนอกจากจะมีวิตามินแร่ธาตุหลายชนิดแล้วยังช่วยเรื่องขับถ่ายอีกด้วย 7.เรียนรู้ชีวิต (Stay Strong)เพิ่มพูนทักษะชีวิต เช่น เรียนทำอาหาร เรียนภาษาใหม่ ๆ ไม่หยุดนิ่งที่จะเรียนรู้ หรือออกไปท่องเที่ยว ทำกิจกรรมที่แปลกใหม่ พบปะผู้คนกลุ่มใหม่ ทำกิจกรรมเพื่อสังคมเพื่อหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับชีวิต 8.ไม่ลืมฟิตร่างกาย (Exercise Daily)ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อย 150 นาทีต่อ สัปดาห์ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของหัวใจและกล้ามเนื้อต่าง ๆ สุขภาพดีไม่มีขาย ถ้าอยากได้ต้องสร้างเอง

ออร์แกนิค… ธรรมชาติ ปลอดภัย ไร้สารพิษ

By ยุวรินทร์ สิริธนันต์ชัย 17/11/2020 0

ออร์แกนิค…ธรรมชาติ ปลอดภัย ไร้สารพิษ เรียบเรียงโดยภญ.ยุวรินทร์ สิริธนันต์ชัยเภสัชกรประจำร้านเฮลธิแมกซ์ ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค (Organic) คือ ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ปลูกโดยวิธีเกษตรอินทรีย์ มีการควบคุมไม่ให้มีการปนเปื้อนสารเคมีในทุกขั้นตอนการผลิต เริ่มตั้งแต่การเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว การบรรจุหีบห่อ การขนส่ง ไปจนถึงกระบวนการในการนำไปใช้หรือการแปรรูป ในขั้นตอนของการเพาะปลูก พื้นที่เพาะปลูกจะต้องปลอดสารเคมีอย่างน้อย 3 ปีขึ้นไป ดังนั้นผู้เพาะปลูกจึงต้องมีการเตรียมดินและน้ำเป็นเวลาหลายปีเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีสิ่งปนเปื้อนหลงเหลืออยู่ ต้องใช้ปุ๋ยที่ทำจากธรรมชาติ ไม่ใช้สารเคมีใดๆ ในการปลูก จนถึงขบวนการแปรรูปผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคจึงปลอดภัยต่อการอุปโภคบริโภค เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง มีงานวิจัยซึ่งเป็นงานวิจัยที่มีการทบทวนอย่างเป็นระบบ (Systematic reviews) ได้ทำการเปรียบเทียบผลของอาหารออร์แกนิคกับอาหารที่ไม่ใช่ออร์แกนิคต่อสุขภาพของผู้บริโภค การศึกษาเกี่ยวภาวะเจริญพันธุ์ เปรียบเทียบระหว่างเกษตรกร 2 กลุ่ม คือ เกษตรกรที่ทำการเกษตรอินทรีย์กับการเกษตรกรที่ทำการเกษตรแบบทั่วไป ซึ่งอาจมีการใช้ยาฆ่าแมลงหรือปุ๋ยเคมี พบว่าในกลุ่มเกษตรกรที่ทำการเกษตรแบบทั่วไปมีปริมาณของตัวอสุจิที่มีรูปร่างปกติอยู่น้อยกว่าและมีความเข้มข้นของน้ำอสุจิน้อยกว่ากลุ่มเกษตรกรที่ทำการเกษตรอินทร์ย์ นอกจากนี้ได้มีการศึกษาถึงผลของการได้รับยาฆ่าแมลงในหญิงที่เข้ารับการรักษาภาวะมีบุตรยาก พบว่าในหญิงกลุ่มที่ได้รับยาฆ่าแมลงในปริมาณมาก เช่น จากการรับประทานพืช ผัก ที่มียาฆ่าแมลงปะปน จะมีโอกาสการตั้งครรภ์ต่ำกว่า แต่มีโอกาสแท้งสูงขึ้น การศึกษาเกี่ยวกับสุขภาพแม่และเด็ก โดยศีกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับประทานอาหารออร์แกนิคเทียบกับอาหารปกติในหญิงตั้งครรภ์ พบว่าหญิงตั้งครรภ์ที่รับประทานอาหารออร์แกนิคเป็นประจำ เกิดภาวะครรภ์เป็นพิษน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับประทานอาหารออร์แกนิคอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้มีการศึกษาในประเทศฝรั่งเศสพบว่าหญิงตั้งครรภ์ที่บริโภคอาหารออร์แกนิคเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหูชั้นกลางอักเสบและการเกิดผิวหนังอักเสบของลูกในวัยเด็กได้ และยังพบอีกว่า เมื่อนำน้ำปัสสาวะของเด็กไปตรวจหายาฆ่าแมลง พบว่าเด็กที่รับประทานอาหารออร์แกนิคมีปริมาณของสารออร์แกโนฟอสเฟตซึ่งเป็นสารที่ใช้ในการฆ่าแมลงน้อยกว่าในกลุ่มที่ทานอาหารปกติ การศึกษาในผู้ใหญ่ พบว่าการทานอาหารออร์แกนิคช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอ้วนน้ำหนักเกินได้อย่างมีนัยสำคัญโดยเมื่อติดตามผู้ที่รับประทานอาหารออร์แกนิคไปเป็นเวลา 3 ปี พบว่ากลุ่มผู้เข้าร่วมการทดลองที่รับประทานอาหารออร์แกนิคเป็นประจำ มี BMI และการเกิดโรคเมตาบอลิกซินโดรมลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้จากการศึกษาดังกล่าวยังพบว่า การรับประทานอาหารออร์แกนิคยังสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งบางชนิดได้อีกด้วย จะเห็นได้ว่าผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคนอกจากจะปลอดภัยต่อสุขภาพของผู้บริโภคแล้ว ยังปลอดภัยกับผู้ที่เกี่ยวข้องในทุกขั้นตอนตั้งแต่ขั้นการเพาะปลูกเพราะไม่มีการใช้ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมีต่าง ๆ ไปจนถึงกระบวนการผลิตเพาะปลดปล่อยมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมน้อย และยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

โรคเบาหวาน ความหวานที่น่ากลัว

By กาญจนาพร เด่นกีรติ 09/11/2020 0

เรียบเรียงโดยภญ.กาญจนาพร เด่นกีรติเภสัชกรประจำร้านเฮลธิแมกซ์ ปัจจุบันประชากรมีอายุยืนยาวขึ้น ด้วยสภาพร่างกายที่เสื่อมตามวัย สภาวะความเป็นอยู่ และวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ร่วมกับการมีพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสม ทำให้โรคเรื้อรังกลายเป็นปัญหาสุขภาพที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคเบาหวาน ทางสมาพันธ์เบาหวานนานาชาติและองค์การอนามัยโลก ได้คำนึงถึงอุบัติการณ์ของโรคเบาหวาน ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากทั่วโลก จึงได้จัดตั้งวันเบาหวานโลกขึ้นมา โดยกำหนดให้ตรงกับวันที่ 14 พฤศจิกายน ของทุกปี แม้ว่าโรคเบาหวานจะไม่ได้ส่งผลให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตอย่างทันทีทันใด แต่หากร่างกายมีน้ำตาลในกระแสเลือดสูงเป็นเวลานานโดยไม่ได้รับการดูแลหรือรักษาอย่างถูกวิธีอาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนแก่ร่างกายตามมาได้ เพื่อจะได้ป้องกันตนเองและคนที่รักจากโรคเบาหวาน เรามาเรียนรู้และทำความเข้าใจกับโรคเบาหวานให้มากขึ้นกันนะคะ โรคเบาหวาน เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากความผิดปกติของร่างกายที่มีการผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอหรือร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้ได้ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ประเภทของโรคเบาหวานแบ่งเป็น 4 ชนิดตามสาเหตุของการเกิดโรค 1. โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากเบต้าเซลล์ที่ตับอ่อนไม่สามารถสร้างอินซูลินขึ้นได้ ส่วนใหญ่พบในคนอายุน้อย รูปร่างไม่อ้วน มีอาการปัสสาวะมาก กระหายน้ำ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด ซึ่งในบางกรณีพบภาวะเลือดเป็นกรดจากสารคีโตน 2. โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด พบประมาณร้อยละ 95 ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด เกิดจากตับอ่อนสร้างอินซูลินได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หรือ เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน มักพบในคนอายุ 30 ปีขึ้นไป รูปร่างท้วมหรืออ้วน 3. โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ เป็นเบาหวานที่ตรวจพบครั้งแรกขณะตั้งครรภ์ 4. โรคเบาหวานที่มีสาเหตุจำเพาะ เป็นโรคเบาหวานที่มีสาเหตุชัดเจนที่ทำให้ตับอ่อนไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ เช่น โรคเบาหวานที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม โรคของตับอ่อน จากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ จากยา จากการติดเชื้อ จากปฏิกิริยาภูมิคุ้มกัน เป็นต้น อาการของโรคเบาหวาน ผู้ป่วยเบาหวานอาจมีอาการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ปัสสาวะบ่อยและมาก หิวบ่อย กินจุ คอแห้ง กระหายน้ำ น้ำหนักลด เป็นแผลง่ายและหายยาก คันตามผิวหนัง ตามัว ชาปลายมือปลายเท้า การวินิจฉัยโรคเบาหวาน ทำได้โดยวิธีใดวิธีหนึ่งใน 4 วิธี ดังต่อไปนี้ 1. ผู้ที่มีอาการของโรคเบาหวานชัดเจนคือ หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อยและมาก น้ำหนักตัวลดลงโดยที่ไม่มีสาเหตุ สามารถตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเวลาใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องอดอาหาร ถ้ามีค่า ≥ 200 มก./ดล. ให้การวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน 2. การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดตอนเช้าหลังอดอาหารมากกว่า 8 ชั่วโมง มีค่า ≥ 126 มก./ดล. ซึ่งวิธีนี้เหมาะสำหรับคนทั่วไปที่มาตรวจสุขภาพ และผู้ที่ไม่มีอาการ 3. การตรวจความทนต่อกลูโคส ถ้าระดับน้ำตาลในเลือด 2 ชั่วโมง หลังดื่มน้ำตาล ≥200 มก./ดล. วินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน 4. การตรวจวัดระดับ A1C ถ้าค่า ≥6.5% ให้การวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน สำหรับผู้ที่ไม่มีอาการของโรคเบาหวานชัดเจน ควรตรวจเลือดซ้ำโดยวิธีเดิมอีกครั้งหนึ่งต่างวันกันเพื่อยืนยันและป้องกันความผิดพลาดจากการตรวจห้องปฏิบัติการ มาเรียนรู้กับชนิด อาการและการวินิจฉัยโรคเบาหวานแล้ว เรียนเยอะๆ อาจจะเหนื่อย แต่ถ้าเรียนรู้กันไปเรื่อยๆ อาจจะรัก^^ ด้วยรักและห่วงใยจากแอดมินเฮลธิแมกซ์นะคะ https://youtu.be/aQiahdHM1r4 ช้อปสุขภาพดี 24 ชั่วโมง LINE OA @HealthyMax

11.11 วันคนโสด อยู่ในโหมดกำลัง sale!!!

By admin_hmx 04/11/2020 0

11.11 วันคนโสด อยู่ในโหมดกำลัง sale!!! เลข 1 มีลักษณะคล้ายคนยืนคอตกไร้คู่ จึงมีการนำมาใช้แทนสัญลักษณ์ของคนโสด 11.11 มีเลข 1 เรียงกันถึง 4 ตัว ดูเหมือนกับคนโสดยืนเรียงกัน 4 คน 11.11 จึงถูกจัดให้เป็น “วันคนโสด (Singles' day)” นั่นเอง ในไทยวันคนโสดอาจยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ในประเทศจีนวันคนโสดเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง เทศกาล “วันคนโสด” เริ่มต้นที่ประเทศจีนในปี 2533 โดยนักศึกษามหาวิทยาลัยหนานจิงที่ยังไร้คู่ ได้ประกาศไปทั่วมหาวิทยาลัยให้คนโสดมารวมตัวกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้คนที่ยังไม่มีคู่ได้ออกมาพบปะสังสรรค์กับเพศตรงข้ามเพื่อทำความรู้จักหรือหาคู่ ต่อมาได้รับความนิยมมากขึ้นในทุก ๆ ปี จนกลายเป็นหนึ่งในเทศกาลที่สำคัญของวัยรุ่นชาวจีน ซึ่ง 11.11 ไม่ได้เป็นวันหาคู่แค่เฉพาะในประเทศจีนเท่านั้น ในประเทศเกาหลี 11.11 เป็นวันเปเปโร่ (Peppero day) และในญี่ปุ่นคือ วันป๊อกกี้ (Pocky day) ซึ่งต่างก็เป็นวันที่มีความหมายคล้ายกับวันวาเลนไทน์ โดยจะมีการมอบขนมให้กับคนที่เราชอบนั่นเอง จาก Singles' day สู่ Shopping day แคมเปญ 11.11 ถูกริเริ่มโดย แจ็ก หม่า ประธานบริหารอาลีบาบากรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัท E-commerce อันดับหนึ่งของจีน โดยออกแคมเปญครั้งแรกในปี 2009 ภายใต้ชื่อ “วันคนโสด” โดยมีการจัดโปรโมชั่นต่าง ๆ เพื่อเชิญชวนลูกค้าเข้ามาซื้อสินค้าทางออนไลน์ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีลูกค้าเข้ามาจับจ่ายมากมายเป็นประวัติการณ์ และในวันที่ 11/11/11 ซึ่งเป็นวันที่ประเทศจีนมีจัดฉลองวันคนโสดอย่างยิ่งใหญ่กว่าทุกปี พบว่าอาลีบาบา (Alibaba) สามารถทำยอดขายสินค้าออนไลน์ในวันเดียวได้ถึง 2.83 หมื่นล้านบาท ในขณะที่วันคนโสดปี 2012 ยอดขายสินค้าออนไลน์เพิ่มขึ้นเป็น 1 แสนล้านบาท ในปี 2016 อาลีบาบาก็ทำให้ทั่วโลกต้องตกตะลึงอีกครั้ง เมื่อมีการประกาศยอดขายภายใน 1 วันจากทุกแพลตฟอร์มที่สูงถึง 6 แสนล้านบาท โดยมีจำนวนการสั่งซื้อคิดเป็น 175,000 ออร์เดอร์ต่อวินาที ซึ่งแสดงให้เห็นถึงผลตอบรับเทศกาลคนโสดจากทั่วประเทศจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ในประเทศไทยมีหลายแพลตฟอร์มได้นำวันคนโสดมาประกาศใช้เป็น “วันชอปปิ้ง” ซึ่งมีการลดราคาและเสนอโปรโมชั่นเพื่อสร้างประสบการณ์การซื้อของออนไลน์ครั้งแรกให้ได้เพื่อหวังว่าจะดึงให้เกิดการซื้อซ้ำอีกครั้งในภายหลัง จากจุดเริ่มต้นของวันคนโสดกลับกลายเป็นสุดยอดมหกรรมการชอปปิ้งของประเทศจีนกำลังจะกลายเป็นวันชอปปิ้งของในหลาย ๆ ประเทศตามมา

ประโยชน์ของการฝึกสมาธิ

By ยุวรินทร์ สิริธนันต์ชัย 30/10/2020 0

ประโยชน์ของการฝึกสมาธิ เรียบเรียงโดยภญ.ยุวรินทร์ สิริธนันต์ชัยเภสัชกรประจำร้านเฮลธิแมกซ์ การทำสมาธิเป็นที่รู้จัก ได้รับการยอมรับและแพร่หลายไปทั่วโลก เป็นที่ทราบดีว่าการทำสมาธิมีประโยชน์มากมาย มาดูกันว่าสมาธิส่งผลต่อสมองได้อย่างไร ก่อนอื่นมารู้จักกับคลื่นไฟฟ้าสมองกันก่อน คลื่นไฟฟ้าสมองเมื่อแบ่งตามความถี่ของคลื่นจะแบ่งได้ 4 ประเภท คือ คลื่นอัลฟา (alpha) เป็นคลื่นไฟฟ้าที่เกิดขึ้นเมื่อผู้ถูกวัดปล่อยตัวตามสบาย รู้สึกผ่อนคลายในระดับหนึ่งคลื่นเบต้า (beta)เป็นคลื่นที่บอกได้ถึงความเครียดที่เกิดอยู่ เมื่อมีความเครียดจะตรวจพบคลื่นเบต้าได้ค่อนข้างสูงคลื่นเธต้า (theta) พบได้ขณะนอนหลับใหม่ ๆ และตรวจพบได้เมื่อมีภาวะผ่อนคลายหรือการใช้สมาธิในระดับที่ลึกขึ้นคลื่นเดลต้า (delta) พบได้ในผู้ที่นอนหลับปกติ และพบเมื่อมีการใช้สมาธิในระดับลึก ในผู้ที่มีความเครียดสะสมจะมีคลื่นเบต้าสูงกว่าคลื่นอัลฟามากและเมื่อมีการควบคุมความเครียดได้คลื่นอัลฟาจะสูงขึ้น พบว่าการทำสมาธิส่งผลให้คลื่นไฟฟ้าสมองชนิดอัลฟาและเธต้าเพิ่มขึ้นและในผู้ทำสมาธิในระดับลึกจะสามารถตรวจพบคลื่นเดลต้าซึ่งเป็นคลื่นไฟฟ้าชนิดเดียวกับเมื่อนอนหลับ มีการศึกษาในต่างประเทศถึงผลของการทำสมาธิในนักศีกษามหาวิทยาลัย โดยเน้นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การพิจารณาการเคลื่อนไหวของกะบังลมขณะการหายใจ การพิจารณาส่วนต่าง ๆ ของร่างกายและการพิจารณาตนเองขณะทำสมาธิ พบว่าการทำสมาธิช่วยเพิ่มความสามารถในการแก้ปัญหาในขณะที่ต้องเผชิญกับสภาวะทางจิตใจที่ย่ำแย่ การศึกษานี้ยังส่งเสริมสมมติฐานที่ว่าการทำสมาธิด้วยวิธีอื่นใด เช่น การเล่นโยคะ การฝึกสติและฝึกไทชิ ก็สามารถช่วยลดระดับความเครียดทางอารมณ์ได้เช่นกัน นอกจากนี้พบว่าการทำสมาธิยังสามารถช่วยส่งเสริมความจำ ลดความเครียด ความวิตกกังวลได้ และยังส่งผลให้ภาวะซึมเศร้าดีขึ้น จากผลการศึกษายังพบว่าหลังการทำสมาธิทำให้ผู้เข้าร่วมการทดลองมีความพึงพอใจในชีวิตมากขึ้น จากผลการศึกษาพบว่าการทำสมาธิด้วยวิธีการฝึกสติเป็นหัวใจสำคัญในการช่วยลดปัญหาทางจิตใจได้ โดยเฉพาะเมื่อเริ่มฝึกสมาธิตั้งแต่วัยเด็ก

11 สาเหตุของอาการผมร่วง…รีบดูแลก่อนสาย จนทำให้คุณคิดถึงผม

By ยุวรินทร์ สิริธนันต์ชัย 28/10/2020 0

11 สาเหตุของอาการผมร่วง…รีบดูแลก่อนสาย จนทำให้คุณคิดถึงผม เรียบเรียงโดยภญ.ยุวรินทร์ สิริธนันต์ชัยเภสัชกรประจำร้านเฮลธิแมกซ์ ภาวะผมร่วง ผมบาง แม้ว่าจะไม่ส่งผลต่อการทำงานหรือการใช้ชีวิตประจำวัน แต่พบว่าเป็นภาวะที่ส่งผลต่อความมั่นใจหรือแม้กระทั่งคุณภาพชีวิตของผู้ที่มีภาวะผมร่วง ผมบางได้ โดยทั่วไปผมมีการหลุดร่วงเฉลี่ยประมาณ 50-100 เส้นต่อวัน แต่จะมีการงอกขึ้นมาแทนที่ในรูขุมขนของเส้นผมเดิม อย่างไรก็ตามหากอาการผมร่วงเกิดขึ้นอย่างรุนแรงและไม่มีการงอกใหม่ขึ้นทดแทน หากปล่อยไว้ไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ถูกวิธีหรือแก้ไขได้ตรงกับสาเหตุอาจทำให้ผมที่หนาบางลง จนอาจถึงขั้นศีรษะล้านได้ ซึ่งภาวะผมร่วงอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุดังนี้ 1.การใช้สารเคมีต่าง ๆ กับเส้นผมหรือหนังศีรษะ เช่น สเปรย์จัดแต่งทรงผม น้ำยาย้อมผม น้ำยายืดหรือดัดผม รวมถึงการใช้ความร้อนในการจัดแต่งทรงผมเป็นประจำอาจทำให้เกิดการขัดขวางการเจริญของเส้นผม และอาจก่อให้เกิดการอักเสบระคายเคืองของหนังศีรษะ จนเป็นสาเหตุให้ผมหลุดร่วงได้ 2.ผมร่วงศีรษะล้านจากพันธุกรรม มักพบไนเพศชายเกิดจากเอ็นไซม์ 5-อัลฟา รีดักเทสเปลี่ยนฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนไปเป็นฮอร์โมนดีเอชทีซึ่งส่งผลให้เซลล์รากผมหดตัวและอ่อนแอลงจนหลุดร่วงในที่สุด อย่างไรก็ตามผมร่วงจากสาเหตุนี้สามารถพบได้ในเพศหญิงเช่นกัน 3.การเสียสมดุลของฮอร์โมนเพศ เช่น การลดลงของเอ็นไซม์อะโรมาเทสซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างฮอร์โมนเพศหญิงจากภาวะวัยทอง หรือการเกิดเนื้องอกบางชนิดของรังไข่ส่งผลให้เกิดการสร้างฮอร์โมนเพศชายมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงระดับของฮอร์โมนเพศหญิงจากการตั้งครรภ์ หรือการรับประทานยาคุมกำเนิดก็เป็นสาเหตุให้เกิดอาการผมร่วงได้เช่นกัน 4.ภาวะผมร่วงหลังการตั้งครรภ์ ซึ่งเกิดจากการลดลงของฮอร์โมนบางชนิด อาจพบอาการผมร่วงได้ตั้งแต่ช่วงหลังคลอดไปแล้ว 3-4 เดือน ในบางคนอาจกลับมาเป็นปกติในเวลาไม่นาน แต่ในบางคนอาจมีอาการร่วงยาวนานได้เป็นปี อย่างไรก็ตามภาวะผมร่วงหลังคลอดบุตรมักดีขึ้นได้เองจนกลับเป็นปกติได้แม้ไม่ได้รักษา 5.โรคบางอย่าง เช่น โรคไทรอยด์ โลหิตจาง ภาวะการมีถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (PCOS) เป็นต้น หรือภาวะความเจ็บป่วยบางอย่างก็อาจจะเป็นสาเหตุให้เกิดการหลุดร่วงของเส้นผมได้ เช่น การมีไข้สูง การผ่าตัด อุบัติเหตุ หรือการเจ็บป่วยเรื้อรังบางประเภท ซึ่งบางกรณีเมื่อได้รับการรักษาที่ถูกต้อง หรือเมื่อร่างกายกลับสู่สภาวะปกติ ผมก็อาจจะมีการงอกใหม่ได้ 6.การขาดสารอาหารหรือการอดอาหารเพื่อลดน้ำหนัก รวมถึงการลดน้ำหนักอย่างหักโหม น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น อาจทำให้ร่างกายขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างเส้นผม เช่น โปรตีน วิตามินบี ธาตุเหล็ก สังกะสี เป็นต้น ในกรณีนี้การได้รับแร่ธาตุ วิตามิน หรือโปรตีนเสริมทดแทน ผมก็จะงอกและกลับมาเป็นปกติได้ 7.ภาวะผมร่วงจากการใช้ยาบางชนิด เช่น ยารักษาสิวบางชนิด ยาเคมีบำบัด ยาโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง เช่น กลุ่ม Beta-blockers เป็นต้น 8.ความเครียดและความกดดันทางอารมณ์ นอกจากเป็นสาเหตุให้ผมร่วงแล้วยังเป็นสาเหตุให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง การทำงานของระบบภูมิต้านทานร่างกายลดลง นอกจากนี้ภาวะความเครียดสะสมยาวนานยังสัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็งอีกด้วย 9.โรคผมร่วงเป็นหย่อม (Alopecia areata) เกิดจากการแปรปรวนของภูมิคุ้มกันทางผิวหนัง เกิดได้ทั้งเพศชายและเพศหญิง อาการผมร่วงเป็นหย่อมจะมีลักษณะเป็นวงกลมหรือวงรี อาจร่วงทีละวง หรืออาจจะร่วงหลายวงพร้อมกัน สามารถหายได้เอง แต่ในบางกรณีที่มีอาการรุนแรง เช่น มีการร่วงทั่วทั้งศีรษะมักไม่หายเองต้องได้รับการดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญ 10.โรคดึงผมตนเอง อาจเกิดขึ้นโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว พบได้ในทุกเพศทุกวัย สามารถเกิดได้กับทุกบริเวณของร่างกายที่มีผมหรือขนที่ยาวในขนาดที่สามารถดึงออกได้ เช่น ผม ขนตา และหัวหน่าว เป็นต้น ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด 11.อายุที่เพิ่มขึ้น ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการผมร่วงหรือผมบางได้ ในการรักษาภาวะผมร่วง ผมบาง มีหลายวิธีด้วยกันขึ้นกับสาเหตุและความรุนแรง เช่น การใช้ยารับประทาน การใช้ยาทาบางชนิด หรือแม้กระทั่งการปลูกถ่ายรากผม เป็นต้น อย่างไรก็ตามเพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตรงกับสาเหตุของโรคดังที่กล่าวมาข้างต้น จึงควรได้รับคำแนะนำและการดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นอย่ารอให้สายจนผมหายไปแล้วค่อยคิดถึง!!!

Social Icons